วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

The Matrix ปรัชญา ศาสนาพุทธ ตอนที่ ๕

The Matrix ภาพยนตร์สุดโปรดของข้าพเจ้า ตอนที่ ๕

มีคนทวงวิธีปฏิบัติพระกรรมฐาน กสิณ ๓ กอง ที่ใช้พิสูจน์สังสารวัฏเข้ามาในเอ็นทรี่ก่อน ครับ อุส่าห์หลบหายไปนึกว่าจักลืมไปแล้ว ที่หยุดเขียนไป เพราะพอธรรมะลงลึกมาก มันก็คล้าย ๆ pure science วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ซึ่งเข้าใจยาก และเอาไปใช้กระไรไม่ค่อยได้ จักพูดคุยกันอยู่ในแวดวงผู้ศึกษาผู้เชี่ยวชาญพิเศษเท่านั้น

ตอนที่แล้ว ข้าพเจ้าได้เขียนถึง "อวิชชา" ความไม่รู้อริยสัจ อันเป็นพี่ชายใหญ่ของตระกูลมืดมิดวงศ์ เป็นต้นตอของการเกิดทุกข์ทั้งมวล ดูเหมือนจักเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า เป็นต้นตอรากเหง้าที่ลึกที่สุดของแมทริกซ์ ยิ่งกว่าปรัชญา ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ แต่ลักษณะของปฏิจฺจสมุปบาท กลับวนไปวนมา เหมือนวงเวียนใหญ่ ต้นสายของรถเมล์หลายสาย ครับ

คือถ้าถอยจากอวิชชาไป อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดอวิชชา กลายเป็น "ชาติ" หรือการเกิด เป็นปัจจัยของอวิชชา ทั้งที่ชาติ หรือ การเกิด เป็นปลายสุดของวงจรอุบาทว์ชื่อ ปฏิจฺจสมุึปบาท งงไหม ครับ

ต้องไปดูหน้าตาของวงจรปฏิจฺจสมุปบาทกันสักหน่อย จักได้เข้าใจมากขึ้น วงจรหน้าตาเป็นอย่างนี้ ครับ

อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด สฬยตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส แล้วชาติชรามรณะ วนกลับมาเป็นปัจจัยให้เกิด อวิชชา อีก วนอย่างนี้ไม่รู้จบ ครับ

เมื่อนำมาเทียบเข้ากับแมทริกซ์ หรือปรัชญาเรอเน ปฏิจฺจสมุปบาท ลึกซึ้งกว่ามาก จนดูเหมือนอยู่คนละมิติ อยู่กันคนละแกน แต่มีจุดสัมผัสเล็ก ๆ ร่วมกัน คือ วิญญาณ หรือ การรับรู้ หรือ ประสาทสัมผัสทั้งห้า

หากเทียบเป็นคณิตศาสตร์ แมทริกซ์ หรือปรัชญา หรือกระทั่งวิทยาศาสตร์ อาจอยู่บนแกน x แำกน y ธรรมดา แต่ปฏิจฺจสมุปบาท อยู่บนแกน i ซึ่ง เป็นแกนจินตภาพ ทางคณิตศาสตร์ แกน i คือ สแควร์รูทของ ลบหนึ่ง ทางพุทธศาสตร์ แกน i ถูกแทนด้วย "ทุกข์" ครับ

ปฏิจฺจสมุปบาท ถูกนิยามออกมา โดยใช้ "ทุกข์" เป็นแกนหมุน กล่าวคือ เป็นกลไกการเกิดทุกข์นั่นเอง

ผู้ที่จักเข้าใจปฏิจฺจสมุปบาททั้งวงจร มีแต่พระอรหันต์ เท่านั้น ครับ แม้พระอริยะเบื้องต้น อย่างพระโสดาบัน หรือพระสกทาคามี ยังเห็นแค่ตอนปลายของวงจร

เพื่อให้เห็นภาพ เข้าใจง่ายขึ้น ขอยกตัวอย่างอย่างนี้ก็แล้วกัน

ให้เราเป็นนางฟ้าหน้าโง่องค์หนึ่ง ประกอบด้วย อวิชชา ไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้ว่า การเกิดเป็นทุกข์ ไม่รู้ว่าสังขารหรือการปรุงแต่งทั้งหลาย เป็นทุกข์ สมัยเป็นมนุษย์ ชื่นชอบกระเป๋าหลุยส์ ดิงด๊องมาก ไปเดินเล่นในพารากอน เห็นกระเป๋าหลุยส์ ดิงด๊อง ออกใหม่ กระเป๋าหลุยส์ คือ การปรุงแต่งของโลก (สังขาร) ให้ค่าว่า กระเป๋านี้ดีกับเรา ถ้าได้ถือไปไหนมาไหน คงดีไม่น้อย (เวทนา) เกิดอยากถือกระเป๋า (ตัณหา) ยึดมั่นถือมั่นว่า กระเป๋าจักต้องเป็นของเรา เราต้องได้ถือกระเป๋า เดินฉุยฉาย (อุปาทาน) ที่ที่เราจักได้เดินห้อยกระเป๋ามีอยู่ที่เดียวคือ โลกมนุษย์ (ภพ) อย่ากระนั้นเลย โดดไปเข้าท้องแม่ใครสักคน (ชาติ/การ plug-in เข้าสู่แมทริกซ์) พอเกิดออกมาเป็นคนแล้ว ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ อุปายาส ก็ตามมา ซึ่งก็ได้แก่ ความแก่ ความตาย ความโศกาอาดูร ร่ำไรรำพัน บลา ๆ ๆ ซึ่งเป็นธรรมชาติของขันธ์ห้า มีทุกข์เป็นปกติ (อาจจะลืมไปแล้วด้วยว่า ลงมาเกิดเพราะกระเป๋าใบเดียว) มีชีวิตอยู่ อาจจักได้ครอบครองกระเป๋าหลุยส์หรือไม่ก็ตาม ขณะจะตายจากความเป็นคน นึกถึงความดีที่ทำไว้ ก็กลับมาเป็นนางฟ้าหน้าโง่ใหม่ (พอเกิดใหม่ ก็ลืมไปอีกแล้วว่า การไปเกิดเป็นมนุษย์เดินถือกระเป๋าหลุยส์ ไม่เวิร์ค) เห็นกระเป๋าหลุยส์ออกใหม่อีก ก็กระเสือกกระสนหาทางลงมาเกิดอีก เป็นวงจรอยู่อย่างนี้ ไม่สิ้นสุด (ในความเป็นจริง มันมีมากกว่ากระเป๋า ให้ยึดมั่นถือมั่น มากมาย ครับ)

ก็ไม่รู้ว่า ประมาณนี้หรือเปล่า พอดีไม่ใช่พระอรหันต์จ้า ฉะนั้น อย่าเพิ่งเชื่อ!!!

จักเห็นได้ว่า เข้าใจวงจรทั้งหมดไป ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สิ่งสำคัญของการเรียนรู้วงจรนี้ คือ ตัดตรงไหน มันก็ขาดเหมือนกันหมด ครับ หากวงจรนี้ขาดลง ภพ ชาติ ก็สิ้นสุด ไม่มีการเกิดอีกต่อไป ซึ่งก็คือการหลุดพ้น เข้าสู่พระนิพพานนั่นเอง

การตัดวงจรอุบาทว์นี่ เขาถึงตัดกันบริเวณที่เราเห็น ๆ อยู่ เข้าใจได้ ซึ่งก็คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน

อวิชชา ตัณหา และ อุปาทาน ทำลายได้ด้วย ความเข้าใจอริยสัจอย่างลึกซึ้ง ถึงอกถึงใจ ผ่านการเจริญสติปัฏฐาน นั่น!!! สุดท้ายก็มาลงที่เดิม คือ การเจริญสติ สรุปว่า ไม่ต้องรู้กระไรให้มันรกสมองหรอก ลุยเจริญสติตัวเดียวก็ไปนิพพานได้

จบเรื่องปฏิจฺจสมุปบาท

วกมาเรื่องที่ถูกทวงถาม นั่นคือ การเจริญกสิณ ๓ กอง กสิณไฟ กสินสีขาว กสิณแสงสว่าง

หากไปเปิดตำราว่าด้วยการเจริญกสิณทั้ง ๑๐ กอง ไม่ว่าตำราไหน ก็จักเริ่มด้วย กสิณดิน ก็ไม่รู้ว่า มีนัยสำคัญกระไรหรือเปล่า อาจจะเป็นกองที่เจริญได้ง่ายที่สุดกระมัง ในกสิณ ๑๐ กองนี้ หากเจริญกองใด จนได้ฌาน ๔ แล้ว กองอื่น ก็ไม่เกิน ๗ วัน ครับ เพราะเปลี่ยนอารมณ์แค่เล็กน้อย

ในตำราว่าไว้ การเจริญกสิณไฟนั้น ให้จุดเทียน แล้วนั่งเพ่งไปเรื่อย ๆ ครับ บริกรรมว่า "ไฟ ไฟ" หรือ เตโชกสิณัง เตโชกสิณัง เพ่งในที่นี้ ก็คือนั่งมองนั่นแล ไม่ใช่ไปนั่งจ้องไม่กระพริบตาจนน้ำหูน้ำตาไหล มองดูสัณฐานของไฟ จำให้ได้ แล้วหลับตา นึกให้เห็นภาพ เหมือนกำลังลืมตา พอภาพหายไป ให้ลืมตาขึ้นดูใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนภาพนิมิตชัดเจน หลับตา เหมือนลืมตา ตรงนี้เรียกว่า อุคคหนิมิต

เท่าที่สอบถามจากผู้เจริญพระกรรมฐานแบบกสิณ ท่านว่า ต้องฝักใฝ่หมกหมุ่น หรือ มีจิตตะ มีจิตจดจ่อ เหมือนมีกสิณเป็นของเล่น ที่ชอบเล่นมาก ๆ เลย ครับ ไม่ใช่ว่า เจริญกันวันละชั่วโมงสองชั่วโมง พอจำนิมิตไฟได้แล้ว ต้องนึกถึงนิมิตไฟ ให้เหมือนนึกหน้าแฟนทีเดียว

ทำจนชำนาญแล้ว ก็นึกให้ภาพนิมิตใหญ่ขึ้น เล็กลง เลื่อนขึ้นลงซ้ายขวาได้ตามใจชอบ ช่วงนี้เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต ท่านว่า ช่วงนี้ให้เก็บตัวออกจากสังคม ครับ พยายามไม่เจรจากับใครมากนัก วัน ๆ อยู่แต่กับนิมิต

ทำจนคล่องแล้ว คราวนี้ให้เพ่งนิมิตต่อไปจนจิตเป็นหนึ่ง เอกัคคตา นิมิตจักเปลี่ยนสีไป เป็นสีเหลือง สีขาว แล้วเป็นประกายพรึก ตรงที่เป็นประกายพรึก ระยิบระยับเหมือนคริสตัลสวารอฟสกี้ ท่านว่า เป็นฌาน ๔ ครับ

ท่านว่า นิมิตสุดท้าย จักเห็นเป็นเปลวเพลิงลุกท่วมตัว หากเสี่ยวรำพึงใดไปฝึกเอง ไม่มีครูบาอาจารย์ดูแล เห็นเปลวไฟแล้วตกใจ ออกจากสมาธิ สติกระเจิดกระเจิง ก็มีสิทธิ์เป็นบ้า หรือหัวร้างข้างแตกได้

ส่วนใหญ่ท่านจึงแนะให้เจริญกสิณดินก่อน เป็นปฐม ปลอดภัยไร้กังวล

ส่วนกสิณแสงสว่าง หรือ กสิณสีขาว ก็ทำประมาณกัน แบบที่เขาใช้ฝึกวิชชาธรรมกาย ไปเพ่งลูกแก้ว ก็คือ กสิณแสงสว่างนั่นเอง ตามแบบท่านให้มองดู แสงที่ลอดเข้ามาตามประตู หน้าต่าง ขั้นตอนก็เหมือนที่เขียนไปแล้ว ส่วนกสิณสี ก็ไปหากระดาษสีขาว ตัดเป็นวงกลมขนาดประมาณคืบหนึ่ง วางห่างตัวประมาณ ๑ เมตร แล้วก็เพ่งไปเรื่อย หลักการเดียวกันหมด

ท่านว่า เวลาจะออกท่องเที่ยว ให้พุ่งตัวเข้าไปในนิมิตเลย ครับ เช่น พอมีแสงสว่างเข้ามา ก็พุ่งตัวเข้าไปเลย (หมายถึง คิดว่า ตัวเราพุ่งเข้าไปในนิมิตนะ ไม่ใช่เอากายเนื้อพุ่งเข้าไปจริง ๆ)

วันนี้เขียนเรื่องเครียดน่าดู จักมีใครอ่านไหมเนี่ยะ!!!

ซีรี่ย์แมทริกซ์ ก็เอวังด้วยประการฉะนี้ ฯ

ปล.๑ ผู้ที่ต้องการฝึก ขอแนะนำให้ไปฝึกกับครูบาอาจารย์ หรือไม่ก็สมาทานพระกรรมฐานอย่างที่เคยแนะนำมา ครับ เดี๋ยวจักหาว่า พระขาวอวบไม่เตือน

ปล.๒ ผู้ที่อยากเป็นมนุษย์อภิญญาห้า อยากพิสูจน์เรื่องฤทธิ์ชนิดเหาะได้ เดินบนน้ำได้ ตำราว่าไว้ว่า ต้องฝึกกสิณจนครบทั้ง ๑๐ กอง ครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก