The Matrix ปรัชญา ศาสนาพุทธ ตอนที่ ๓
The Matrix Revolutions 2003 (พ.ศ. 2546)
ภาพยนตร์สุดโปรดของข้าพเจ้า ภาค ๓
ตอนที่แล้ว ค้างไว้ที่มุขฝืดสนิท จนน้ำมันหล่อลื่นพีทีทีเพอร์ฟอร์มาเอาไม่อยู่ว่า "six senses blind you from the truth." ซึ่งการรับรู้ทั้งหกนั้น มีชื่อภาษาบาลีว่า "วิญญาณ" (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
ไปไถ่ถามครูบาอาจารย์ที่จบบาลีกันหลาย ๆ ประโยคในสำนัก และนอกสำนัก เล่าถึงคอนเซ็พท์ของการเขียนบทความ ที่เอาปรัชญาไปเนื่องกับพระพุทธศาสนา ท่านว่า วิญญาณ หรือการรับรู้ตัวนี้ มิใช่สิ่งที่หลอกลวงเรา มันเป็นเพียงกลไกการรับรู้ตามธรรมชาติเท่านั้น ถ้าเทียบกับวิทยุเอฟเอ็ม คลื่นสัญญาณที่วิ่งมาตามอากาศ ก็เป็นอายตนะภายนอก เสาอากาศก็เป็นอายตนะภายใน วิญญาณเกิดตอนที่คลื่นสัญญาณมากระทบกับเสารับสัญญาณ มิได้มีการหลอกลวงใด ๆ หรือความเพี้ยนใด ๆ เกิดขึ้น ครั้นวิทยุได้รับคลื่น ผ่านเสาอากาศมาเรียบร้อยแล้ว นำมาแปรเป็นสัญญาณเสียงให้เราได้ยินนี่สิ ที่เกิดกระบวนการที่เรียกว่า "การปรุงแต่ง" หรือภาษาบาลีว่า "สังขาร" เทียบเป็นภาษาอิเล็คทรอนิกส์ คงเทียบได้กับการดีโค้ด (decoding)
การปรุงแต่ง หรือ สังขาร นี้ ก็คือ การคิดนั่นเอง มันมาเพี้ยน หรือมีสัญญาณรบกวน (noise) ก็ตรงนี้เอง นักปรัชญาบอกว่า เพราะเราคิด เราจึงมีอยู่ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า จิตมีอยู่เป็นนิรันดร์ไม่เกี่ยวกับการคิด (แต่จิตมีธรรมชาติคิด) ส่วนการคิดนั่นเป็นสาเหตุุแห่งทุกข์ ประการหนึ่ง ดังที่ได้เขียนไปแล้วในตอนแรก
จะเห็นได้ว่า สิ่งที่นักปรัชญาคิดได้ เป็นสิ่งที่ปุถุชนรู้ตามได้ไม่ยากนัก แต่พอบอกว่า จิตเป็นนิรันดร์ ก็จะมีข้อสงสัยตามมาว่า เป็นนิรันดร์จริงหรือ? มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์? บางศาสนาบอกว่า เกิดหนเดียว ตายหนเดียว ตายแล้วไม่เกิดอีก ใครพูดจริง? ใครพูดเท็จ? สำหรับคนขี้สงสัย ต้องพิสูจน์ให้เห็นเอง ถึงจะเชื่อ ศาสนาพุทธก็มีหลักสูตรให้พิสูจน์อีก ครับว่า ชาติอดีต ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติโน้น การเวียนว่ายตายเกิด มีอยู่จริงหรือ? ด้วยการฝึกกสิณ ๓ กอง ได้แก่ อาโลกสิณ หรือ กสิณแสงสว่าง (การเพ่งลูกแก้วอย่างที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญสอน ก็เป็นกสิณกองนี้) โอทาตกสิณ หรือ กสิณสีขาว และเตโชกสิณ หรือ กสิณไฟ กองใดกองหนึ่ง
สำหรับกสิณ หรือการเพ่ง นี้ ก็ฝึกฝนได้ลำบากลำบนพอควร ต้องมีความเพียรพอตัว ถ้าคนเรามีความมุ่งมั่น อยากพิสูจน์ว่า อะไรจริง อะไรเท็จ อยากรู้ให้ชัดว่า แท้จริงคนเราเกิดมาเพื่ออะไร คงไม่เกินความพยายาม ครับ แต่สำหรับผู้ที่มีความคิดเหนียวแน่น มองโลกแคบ รับกระไรที่ไม่ตรงกับความเชื่อเดิม หรือเกินความสามารถในการรับรู้ของตนยาก เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่พิสูจน์ และไม่พยายามพิสูจน์ แล้วแถมยังไม่มีความเพียรด้วย สิ่งที่ค้นหาได้ในชีวิต มิใช่ความจริง แต่กลายเป็นอีโก้ ครับ
สำหรับผู้ที่ใคร่อยากจักพิสูจน์ แต่ไม่สามารถฝึกกสิณได้ หรือฝึกได้ แต่ไปไม่ถึงจตุตฺถฌาน หรือ ฌานที่ ๔ เพราะการฝึกกสิณ ถ้ามาเริ่มเอาชาตินี้ ทำไปตลอดชาติ บางทียังไม่เห็นผล ต้องเป็นคนที่เคยฝึกมาแต่กาลก่อน วิธีสังเกตว่า มีวิสัยทางนี้หรือไม่ ก็ดูนิสัยใจคอของตัวเอง ครับ เวลาพูดถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ เรื่องเหนือธรรมชาติ ท่านมีความสนใจแค่ไหน มีความรู้สึกว่า อยากมีฤทธิ์บ้างหรือไม่ ถ้าคนมีวิสัยทางนี้ นิสสัยความชอบจักติดตัวข้ามภพข้ามชาติมา ครับ หรืออาจจะชอบมองสีขาว ชอบมองแสงสว่างที่ลอดมาตามช่องประตูหน้าต่าง ชอบมองเปลวไฟ มองแล้วใจสงบ นิ่ง สบาย ก็อาจมีความเป็นไปได้สูง จะเคยฝึกมาแต่กาลก่อน เพราะการฝึกฝนกรรมฐานพวกนี้ ต้องมีอิทธิบาทสี่ ครับ และอิทธิบาทสี่ ก็เริ่มต้นด้วย "ฉันทะ" ความชอบ หรือความพอใจ ปราศจากความพอใจในกสิณกองนั้น ๆ แล้ว ฝึกอีกกี่ชาติ ก็ไม่สำเร็จ ครับ
สมมุติว่า ท่านรู้สึกเฉย ๆ กับเรื่องอิทธิฤทธิ์ เรื่องเหนือธรรมชาติ และไม่มีความพอใจในกสิณกองใด แต่ยังอยากพิสูจน์ ก็ยังมีหลักสูตรลัดอยู่อีกหนึ่งหลักสูตร คือ การฝึกมโนมยิทธิ ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เริ่มตอนเที่ยง ทุกวัน และที่สาขาในกรุงเทพฯ ซอยสายลม (พหลโยธิน ซอย ๘) ทุกวันเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน
การฝึกมโนยิทธิแบบวัดท่าซุง ใช้สมาธิแค่ระดับ อุปจารสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิเบื้องต้นเท่านั้น สมาธิขั้นนี้ เป็นสมาธิขั้นหน่อมแน้มซึ่งยังประกอบด้วยอุปาทานเยอะ สิ่งที่เห็นจึงมักเพี้ยนไปจากความเป็นจริง จึงต้องมีครูฝึก คอยให้ความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดี ทั้งการฝึกกสิณ และมโนมยิทธิ ทำให้สามารถเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ก็จริง แต่คนที่ได้รับการฝึกจนสามารถถอดจิตได้แล้วนั้น มักลืมเจตนารมณ์เดิมที่ตั้งไว้ คือ การพิสูจน์เรื่องชาติ ภพ วัฏสงสาร พอได้ความสามารถพิเศษเหล่านี้มา มักเที่ยวไปดูสิ่งไร้สาระ เที่ยวดูสิ่งอื่นนอกกายนอกใจตัวเอง เที่ยวไปดูหมอ ทำตัวเป็นเทพธิดาพยากรณ์ หลงติดลาภยศสรรเสริญสุข หลงติดโน่นติดนี่ ไม่มีที่สิ้นสุด ครูบาอาจารย์สายพระป่า จึงไม่แนะนำให้ไปสนใจนิมิต เห็นสิ่งใด ไม่ให้สนใจสิ่งนั้น แต่ให้สนใจจิตตัวเองว่า มีความรู้สึกเช่นไร เมื่อเห็นนิมิตต่าง ๆ หรือไม่ก็ ให้ทิ้งไปเลย
สรุปว่า การฝึกจิตให้เห็นความเป็นทิพย์เหล่านี้ เป็นเสมือนดาบสองคม ถ้าเอาไปใช้อย่างถูกทาง ก็เป็นคุณอนันต์ต่อการปฏิบัติ หากเอาไปใช้ผิดทาง ก็โทษมหันต์ หลงไม่รู้จบเหมือนกัน
เอ้า... นอกเรื่องไปไกล วกกลับมาเรื่องปฏิจฺจสมุปฺบาทต่อไป ครับ
สังขาร หรือความคิดปรุงแต่งนี่เอง ที่เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ หรือการรับรู้ เพราะเราคิด เราถึงไม่สามารถเห็นความจริง ทำไมหรือ ครับ ก็เพราะความคิดแกมีพี่ชาย คอยครอบงำแกอยู่อีกคนหน่ะซี
ชายใหญ่แห่งบ้านมืดมิดวงศ์ (เป็นญาติห่าง ๆ กับ สว่างวงศ์) "ทุกข์ขนัด" หลังนี้ ชื่อว่า "อวิชชา" ครับ มีชายกลางชื่อ "ตัณหา" และชายน้อยชื่อ "อุปาทาน" สามชายนี้เป็นสามพระเอกแห่งวงจรปฏิจฺจสมุปบาท (อุ๊ย... พระเอกแยะจัง เหมือนหนังเกาหลีเรยยย)
ข้าพเจ้าได้พาท่านทั้งหลาย มาเหยียบหน้ากระไดบ้านกระทาชายนายใหญ่แห่งวงจรอุบาทว์แล้ว เฮียแกยิ่งใหญ่ครอบจักรวาลคับจอยิ่งนัก สมเป็นชายใหญ่ ครับ อยากรู้ว่า "อวิชชา" ยิ่งใหญ่เพียงไร สาธยายให้หมดไส้ติ่งในตอนนี้ คงจักยาวเกินไป ติดตามตอนหน้ากันดีกว่า ครับ
จบตอน ๓
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก