The Matrix ปรัชญา ศาสนาพุทธ ตอนที่ ๔
The Matrix ภาพยนตร์สุดโปรดของข้าพเจ้า ตอนที่ ๔
อุ๊พซ์... ตอนที่แล้ว เผลอด่าตัวเองออกอากาศไปซะเยอะเชียว ขออำภัย ครับ
กลับมาเข้าเรื่องเดิมกันต่อ หลังจากแอบอู้ไปต่อลำโพงได้หนึ่งชุด ตอนที่แล้วพาท่านทั้งหลาย มาเหยียบหัวกระไดบ้านของตระกูลมืดมิดวงศ์ (ญาติกับสว่างวงศ์) อันมีชายใหญ่ชื่อ "อวิชชา" เป็นผู้ต้อนรับ ข้าพเจ้าก็ขอแนะนำท่านชาย ให้ท่านทั้งหลายรู้จักกันเสียเป็นปฐม
ชื่อของชายใหญ่ แปลว่า ความไม่รู้ หรือความโง่ ครับ เคยแนะนำเฮียแกให้รู้จักไปแล้วทีนึง ใน ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ข้อควรปฏิบัติของนักล่าเม้นต์ คงลืมกันไปหมดแล้ว มาว่ากันใหม่อีกรอบแบบย่อ ๆ ไม่รู้กระไร? ไม่รู้อริยสัจ นั่นเอง ซึ่งก็คือ
๑. ไม่รู้จักทุกข์
๒. ไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย)
๓. ไม่รู้จักความดับทุกข์ (นิโรธ)
๔. ไม่รู้จักทางดับทุกข์ (มรรค)
๕. ไม่รู้จักอดีต
๖. ไม่รู้จักอนาคต
๗. ไม่รู้จักทั้งอดีต ทั้งอนาคต
๘. ไม่รู้จักปฏิจฺจสมุปฺบาท
ถ้าจักอธิบายกันแบบละเอียด อีกสิบตอนก็คงไม่จบ ขอยกแซมเปิ้ลกันแค่ข้อแรกข้อเดียว ที่ว่า "ไม่รู้จักทุกข์"
ทุกข์ในศาสนาพุทธ ไม่ใช่ความทุกข์ อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ เข้าใจกัน แต่หมายถึง กายกับใจ หรือเรียกเป็นภาษาบาลีว่า ขันธ์ห้า กาย คือ รูป ส่วนใจ คือ ขันธ์อีกสี่ ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อ๊ะ... อ่านบาลีมาก ๆ ปวดหัว เอาภาษาไทยดีกว่า "กายกับใจ" เข้าใจง่ายกว่าเยอะ
รู้แค่ทุกข์อย่างเดียว ก็พ้นทุกข์ได้ ครับ วิธีจะรู้ทุกข์ ขอยกไว้ก่อน วันนี้เราจักแนะนำชายใหญ่ให้เห็นภาพ วิธีสอยแกลงจากบัลลังก์เมฆ แล้วขึ้นครองบ้านมืดมิดวงศ์ แล้วเปลี่ยนแบรนด์เป็น "สว่างวงศ์" จักสาธยายต่อไปในกาลข้างหน้า
ตอนที่แล้ว สาธยายไว้ถึง สังขาร หรือ ความคิด ที่นักคิดบอกว่า มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีอยู่ ฟังดูสุดจะแหล่ม แต่ที่ไหนได้ ครับ ปรัชญาที่สุดไพเราะ ก็หาได้พ้นไปจากอวิชชา เพราะอวิชชาครอบงำความคิดอยู่อีกที เรียกได้ว่า เริ่มคิด ก็ผิดแล้ว
อุปมาเหมือนไข่ไก่ ครับ เปลือกไข่ เป็นอวิชชา ความคิดนั้นวนอยู่ในเปลือกไข่ สิ่งที่อยู่นอกเปลือกไข่ คือ ความจริง ดิ้นรนคิดเท่าไหร่ หากยังไม่สามารถเจาะเปลือกไข่ออกมาภายนอก ก็ไม่มีทางเห็นความจริง
อุปมาอีกอย่าง ให้สังขาร หรือ ความคิด เป็นบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ และมีบรรยากาศชั้นที่สูงขึ้นไป ประเภทมีโซสเฟียร์ เทอร์โมสเฟียร์ และเอ็กโซสเฟียร์ เป็นอวิชชา คลุมอยู่อีกที ตราบใดที่เรายังไม่สามารถหนีแรงดึงดูด ออกไปนอกโลกได้ เราก็ไม่สามารถเห็นความจริง กิเลสทั้งหลาย ก็ประหนึ่งแรงดึงดูดของโลก ดูดให้เราติดอยู่กับโลก ต้องมียานพิเศษพาเราออกไปนอกโลก จึงจักหนีออกไปได้ ยานพิเศษนั้น มีชื่อเรียกว่า "สติปัฏฐาน"
อุปมาอีกอย่าง ให้อวิชชา คือ แมทริกซ์ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้กินยาเม็ดสีแดง (เทียบกับชีวิตจริง ก็คือ สติปัฏฐาน) เพื่อจักถอดปลั๊ก (Unplug) ตัวเองออกจากระบบแมทริกซ์ ท่านก็ไม่มีทางรู้ว่า โลกแห่งความจริง เป็นอย่างไร
เอาละ คงพอเห็นภาพ ความยิ่งใหญ่ของชายใหญ่ แห่งบ้านมืดมิดวงศ์ "อวิชชา" กันบ้างแล้ว พอดีมีคำถามหลังไมค์เข้ามา หลังจากออกอากาศตอนที่แล้วได้ไม่นาน ครับ ถึงการพิสูจน์วัฏสงสาร โดยใช้กสิณ ๓ กอง เป็นเครื่องมือ คำถามถามถึงขั้นตอนการปฏิบัติทีเดียว น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ครับ
ว่าด้วยกรรมฐานแล้ว ทั้งสี่สิบกอง ก็มีค่าเสมอกัน ครับ คือ เป็นอุบายสงบใจ หลวงพ่อฤๅษีฯบอกว่า กสิณเป็นกรรมฐานหยาบเสียด้วยซ้ำ ทำได้ง่ายกว่ากรรมฐานละเอียด เช่น อานาปานุสสติ เสียอีก
ข้าพเจ้าเองก็เคยกังวลใจ กับกรรมฐานว่าด้วยการรู้ลมหายใจ หรืออานาปานุสสตินี้เหมือนกัน ได้ยินแว่ว ๆ หลวงพ่อฤๅษีฯว่า ทิ้งกรรมฐานกองนี้กองเดียว กองอื่นพังหมด ฝึกเท่าไหร่ก็กลายเป็นเพ่งทุกที ทำสักพักก็อึดอัด เที่ยวไถ่ถามพระผู้ใหญ่หลายท่าน ที่สุดก็ได้คำตอบตรงกันว่า ไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถนัดกองนี้ ไปเจริญกองอื่นก็ได้ และก็ได้หลวงพ่อปราโมทย์ย้ำอีกครั้งว่า "อานาปานุสสติ เป็นกรรมฐานของมหาบุรุษ" ... เฮ้อ ... สบายใจแล้วเรา ไปเจริญกองอื่นดีฝ่า
มาว่ากันถึงขั้นตอนการปฏิบัติกรรมฐานตามรายการคุณขอมา ตารี่จัดให้...
ความจริงถ้าจะเอาให้ละเอียด ไปหาหนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน และ กรรมฐาน ๔๐ มาอ่าน จักได้ความครบถ้วนบริบูรณ์มากกว่า เอ็นทรี่นี้ เอาแค่พอสังเขปก็แล้วกัน
ก่อนจะเริ่มปฏิบัติพระกรรมฐาน สำหรับมือใหม่ซิง ๆ และเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่ทำกันวันสองวันเลิก ท่านว่า ครั้งแรกให้เตรียมเครื่องบูชาพระรัตนตรัย ดังนี้ ธูป ๕ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท ๕ เล่ม ดอกไม้ ๕ กระทงข้าวตอก ๕ กระทง ใช้คราวแรกคราวเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นใช้ดอกไม้ธูปเทียน ตามแต่จะหาได้ ท่านที่ว่าอะไรไม่ได้มาก ตั้งนโม ๓ จบ แล้วว่า
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
แล้วว่า ทุติยัมปิ พุทธัง ฯลฯ ตะติยัมปิ พุทธัง ฯลฯ ครบสามจบแล้ว ถ้าสวดได้็ สวดอิติปิโส ฯลฯ สักจบ ถ้าสวดไม่ได้ก็ไม่ต้อง ต่อไปก็ สมาทานศีล ๕ คือว่าศีล ๕ ว่าเองโดยไม่ต้องมีพระนำ แล้วตั้งใจว่าเราจะรักษาศีล ๕ นี้ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ตลอดชีวิต เราจะไม่ยอมให้ศีลขาดด้วยเจตนา แล้วตั้งใจรักษาศีลด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยสังวรระวังใจ ควบคุมความประพฤติ ไม่เผลอทำลายศีลด้วยเจตนา และไม่ยุให้ผู้อื่นทำลายศีล ไม่ยินดีที่เห็นผู้อื่นทำลายศีล
ไม่รู้มีนัยสำคัญกระไรหรือเปล่า แต่สังเกตุดู พระที่ท่านมีฤทธิ์ทั้งหลาย จักต้องมีการสมาทานพระกรรมฐานกันก่อน ซึ่งคำสมาทานก็จักแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ครูบาอาจารย์ ในที่นี้ ใช้คำสอนของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก็ขอยกคำสมาทานของท่าน มาไว้เป็นตัวอย่าง การสมาทานกรรมฐานตามนัยวิสุทธิมรรคท่านเขียนไว้ดังนี้
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจัชชามิ แปลว่าข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอเสียสละ คือมอบเวนซึ่งอัตภาพนี้ แด่สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้า (แปลตามท่านแปลไว้ในแบบ) อีกแบบหนึ่งท่านแปลเอาความม ีใจความที่ท่านแปลไว้ดังนี้ "ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
ต่อด้วย
ข้าพเจ้า ขออาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ บารมีพระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมามีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นที่สุด ขอได้ โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐาน ๔๐ ทัศน์ พระปีติทั้ง ๕ และ วิปัสสนาญาณทั้ง ๙ ขอพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ ทัศน์ พระปีติทั้ง ๕ และวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ จงมาบังเกิดปรากฏในกายทวาร ในวจีทวารในมโนทวารของข้าพเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
วันนี้ก็ขอค้างไว้แค่ขึ้นพระกรรมฐานไว้ก่อน ตอนหน้าจักมาสาธยายความให้ยาวยืดต่อไป
จบตอน ๔
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก